อันโตนิโอ รูดิเกอร์ (Antonio Rüdiger) เกิดวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ.1993 เป็นนักฟุตบอลชาวเยอรมัน ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหลัง ให้กับสโมสรเชลซี ในพรีเมียร์ลีก และทีมชาติเยอรมนี
รูดิเกอร์เกิดที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และใช้เวลาช่วงแรกกับทีมเยาวชนของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก่อนจะย้ายไปเล่นให้สโมสรสตุ๊ตการ์ต เขาลงเดบิวต์ให้สตุ๊ตการ์ตในปี 2012 นัดที่พบกับโบรุสเซีย เมินเช่นกลัดบัค ในวัย 18 ปี และสามารถทำให้ตัวเองเป็นตัวจริงของทีมได้ในฤดูกาล 2013-2014 ปี 2015 เขาย้ายมาเล่นให้สโมสรโรม่า ด้วยสัญญายืมตัว แต่หลังจากที่ประสบความสำเร็จในฤดูกาลแรกที่ เซเรีย อา เขาก็ได้เซ็นสัญญาย้ายทีมทันที เขาย้ายมาเชลซีหลังจากที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วทั้งในแชมป์เปี้ยนส์ ลีก และยูโรป้า ลีก
รูดิเกอร์ เริ่มต้นอาชีพกับสโมสรเฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ท โดยได้เล่นให้กับทีมสำรองในลีกระดับสาม และเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ใน บุนเดิสลีกา ต่อมาใน ค.ศ.2015 เขาถูกปล่อยให้กับโรมา แบบยืมตัว ก่อนที่ในปีถัดมา เขาจะถูกซื้อตัวในราคา 9 ล้านยูโร เขาเซ็นสัญญากับเชลซี ใน ค.ศ.2017 ด้วยค่าตัวประมาณ 27 ล้านปอนด์
รูดิเกอร์ ลงเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนีครั้งแรก ใน ค.ศ.2014 แต่เขาพลาดโอกาสลงเล่น ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ในปีถัดมา เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติ ที่ชนะเลิศ ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชันส์ คัพ 2017 เขาติดทีมชาติในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018
อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ย้ายจากสโมสรโรม่า มาร่วมทีมกับสโมสรเชลซี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2017 โดยเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา 5 ปี รูดิเกอร์ เขาเป็นคนที่เข้าบอลหนักหน่วง มีความรวดเร็วและเล่นลูกกลางอากาศได้ดี แม้ว่าส่วนใหญ่จะลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค แต่เขาสามารถโยกไปยืนตำแหน่งฟูลแบ็คได้ด้วยเช่นกัน
ฤดูกาล 2017-2018 รูดิเกอร์ ได้ลงเป็นตัวสำรองให้กับเชลซีใน เกมคอมมิวนิวนิตี้ ชิลด์ ที่พบกับ อาร์เซนอล เมื่อเดือนสิงหาคม 2017 และลงเดบิวต์เต็มเกม ให้ทีมในแมตช์ที่พบกับ เบิร์นลีย์ ช่วงสุดสัปดาห์ถัดมา หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในกองหลังตัวจริง ของ กุนซืออันโตนิโอ คอนเต้ ลงเล่นได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาในแนวรับ
รูดิเกอร์ ทำประตูแรกให้กับสิงโตน้ำเงินคราม ในการแข่งขันคาราบาว คัพ ที่เอาชนะ ทีมเอฟเวอร์ตัน ในเดือนตุลาคม และยิงประตูแรกในพรีเมียร์ ลีก ซึ่งเป็นประตูโทนในนัดเปิด สแตมฟอร์ด บริดจ์เอาชนะ สวอนซี ในเดือนถัดมา เขาทำได้อีกหนึ่งประตูจากลูกโหม่ง ซึ่งเกิดขึ้นในเกมนัดสุดท้ายของปี 2017 ที่ไล่ถล่ม สโต๊ค ซิตี้ อย่างไรก็ตาม รูดิเกอร์ ทำพลาดในจังหวะลูกยิงแฉลบ 2 ครั้ง เลยทำให้ อาร์เซนอล เอาชนะไปได้ ในการแข่งขัน คาราบาว คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ
ต่อมาในเกม เอฟเอ คัพ ก็มีชัยชนะในเวมบลีย์ และ รูดิเกอร์ ก็เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากผลงานในการเล่นเซ็นเตอร์ฝั่งซ้าย ของแผงแบ็คทรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขายึดมาครองในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้าย ในฤดูกาลแรกกับเชลซี
ฤดูกาล 2018-2019 รูดิเกอร์ ได้เล่นเป็นตัวหลักของแนวรับ แทบทั้งฤดูกาล คู่กับดาวิด ลุยซ์ จนกระทั่งในเดือนเมษายน เขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า จนต้องพักไป เขายิงไปได้ประตูเดียวในฤดูกาลนั้นในเกมที่เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงเปิดเกม นัดที่เสมอกัน 2-2
แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ลงเล่นไปถึง 44 นัดในทุกรายการ และเป็นนักเตะที่ใช้เวลาในสนามมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของทีม รูดิเกอร์ได้ร่วมฉลองแชมป์ยูโรปา ลีก กับทีมหลังเอาชนะ อาร์เซนอล ด้วย
ฤดูกาล 2019-2020 การฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บของรูดิเกอร์ หายช้าไปอีก ช่วงเดือนกันยายน เขาเจอปัญหาอีกรอบโดยได้ลงเล่น 45 นาที ที่สนามโมลินิวซ์ หลังจากผ่านการทดสอบความพร้อมของร่างกาย รูดิเกอร์กลับมาลงสนามในเกมนัดสำคัญที่เอาชนะ ลีลล์ ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก เดือนธันวาคม ช่วงสิ้นเดือนเขากลับมาฟิต และทำผลงานเข้าตา ได้เป็นตัวจริงสม่ำเสมอให้ทีม และเป็นหัวใจสำคัญในแนวรับช่วงต้นปี 2020
เพราะอาการบาดเจ็บ เขาจึงพลาดลงเล่นเกมลีกแค่นัดเดียว หลังลงสนามไป 24 เกมแรกของฤดูกาล ระหว่างการกลับมา และมีการหยุดเกมฟุตบอลชั่วคราว ในเดือนมีนาคม เนื่องจากการระบาดของโควิด ความมุ่งมั่นของรูดิเกอร์ถือเป็นสิ่งสำคัญกับเชลซี ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยเขาโหม่งทำประตู 2 ลูก ช่วยให้ทีมแบ่งแต้มกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในการลงสนามนัดที่ 100 ให้กับเชลซี
รูดิเกอร์ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม เมื่อฟุตบอลกลับมาแข่งขันในช่วงฤดูร้อน การรู้ถึงความอันตราย และความเร็ว กลายเป็นจุดสำคัญในแนวรับ ทั้งการวางแผนการเล่นด้วยแผงแบ็คโฟร์ และเซ็นเตอร์ 3 คน รวมทั้งในการแข่งขัน เอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ, รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ
ฤดูกาล 2020-2021 โอกาสลงสนามของ รูดิเกอร์ มีอยู่อย่างจำกัดในช่วงไม่กี่เดือนแรกของฤดูกาล กับการที่ เคิร์ต ซูม่า และ ธิอาโก้ ซิลวา ถูกส่งยืนประจำการในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค โดยเขาได้ลงเล่นพรีเมียร์ ลีกไปแค่ 2 นัด ก่อนขึ้นปีใหม่ อย่างไรก็ตาม รูดิเกอร์มีส่วนร่วมมากขึ้นใน ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก และปรากฏตัว 4 จาก 6 นัด ซึ่งทีมจบตำแหน่งแชมป์กลุ่ม E ได้อย่างไม่ยากเย็น
รูดิเกอร์ เปลี่ยนจากการได้ลงเล่นบางนัด ขึ้นมาเป็นตัวหลักอย่างรวดเร็ว โดยแฟรงค์ แลมพาร์ด เรียกเขามาร่วมทีมเพื่อช่วยฉุดผลงานที่ตกลงของสโมสร จากนั้นรูดิเกอร์ได้ลงเล่นแทบทุกนัด ยกเว้นเกมลีก 4 แมตช์ ในยุคของโธมัส ทูเคิ่ล ไปจนจบฤดูกาล
ความรวดเร็ว การคงตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม และความไม่ย่อท้อของ รูดิเกอร์ ถือว่ามีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมเสียแค่ 2 ประตูใน 14 เกม ภายใต้การดูแลของกุนซือชาวเยอรมัน ถึงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของเขา ในจังหวะที่ไม่เข้าใจกับ เอดูอาร์ เมนดี้
คุณสมบัติทุกอย่างที่ทำให้รูดิเกอร์มีความสำคัญต่อสถิติเกมรับอันยอดเยี่ยมของทีม ให้เห็นจากจังหวะแท็คเคิ่ลอันเยี่ยมยอดในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ โดยรูดิเกอร์โผล่มาสกัดลูกยิงช่วงท้ายเกมของ ฟิล โฟเด้น นอกจากนี้เขายังแสดงความกระหายในการเล่นกับบอล และวิ่งขึ้นหน้าเพื่อช่วยสร้างจังหวะเกมรุก ทำให้เขามีบทบาทสำคัญในอีกฝั่งของสนามเช่นกัน เป็นจังหวะบอลที่เขาเปิดขึ้นหน้าซึ่งทำให้ คริสเตียน พูลิซิช แทรกไปยิงประตูทีมเยือนในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดแรกกับ เรอัล มาดริด
รูดิเกอร์ มายิงประตูเดียวของเขาในฤดูกาล ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ทำให้ทีมได้ประตูเบิกร่อง ในเกมเปิด ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ซึ่งมีอิทธิพลส่งให้เชลซี ได้จบอันดับท็อปโฟร์ของพรีเมียร์ ลีก
ฤดูกาล 2021-2022 รูดิเกอร์ ยังเป็นกำลังหลักของทูเคิ่ล ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นฤดูกาล โดยเขาสานต่อฟอร์มอันยอดเยี่ยมจากฤดูกาลที่แล้ว และรักษาตำแหน่งเซ็นเตอร์ ในแผงแบ็คทรีเอาไว้ได้
รูดิเกอร์ ยังคงช่วยทำประตูให้กับทีมในเกมกับ ท็อตแน่ม และ เลสเตอร์ ซิตี้ โดยยิงลูกแรกในแมตช์บุกชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 3-0 ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ก่อนจะมายิงประตูปิดท้ายในเกมบุกเยือน สเปอร์ส ที่เอาชนะด้วยสกอร์เดียวกัน รูดิเกอร์ ยังมีชื่อทำประตูโทนในเกม คาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดสองกับ สเปอร์ส ซึ่งทั้ง 3 ประตูดังกล่าว มาจากเกมเยือนทั้งหมด
ความสำคัญของรูดิเกอร์กับทีม ถูกเน้นให้เห็นด้วยที่เขามีส่วนร่วมเป็นตัวจริงในแมตช์สำคัญอยู่เสมอ โดยลงเล่นครบทุกนาทีในรายการยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ทำให้ทีมได้ชูถ้วยทั้งสองรายการ และคว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมรอบชิงชนะเลิศสโมสรโลก กับ พัลไมรัส ที่ อาบูดาบี
รูดิเกอร์กับผลงานทีมชาติ เขาได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องให้กับทีมชาติเยอรมนี ในระดับเยาวชน และได้เดบิวต์ให้ชุดใหญ่ในแมตช์กระชับมิตร กับ ทีมชาติโปแลนด์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2014
หลังจากมีชื่อติดชุดสู้ศึกยูโร 2016 รูดิเกอร์ ก็พลาดลงสนามในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว เพราะมีอาการบาดเจ็บ แต่เขาเป็นกำลังสำคัญในการแข่งขัน คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ ที่คว้าแชมป์ในประเทศรัสเซีย เมื่อปี 2017 เขาเป็นส่วนหนึ่งในแนวรับที่เก็บคลีนชีต และเอาชนะชิลี ไป 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ
พฤศจิกายน 2017 เขาลงเล่นให้เยอรมนี นัดที่เจอกับ อังกฤษ ที่ เวมบลีย์ เป็นเกมกระชับมิตรที่จบลงแบบไร้สกอร์ เขาได้เป็นหนึ่งในทีมเยอรมนีชุดฟุตบอลโลก ปี 2018 และได้ลงเป็นตัวจริงหนึ่งนัด ที่เอาชนะ สวีเดน ไป 2-1 ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มในรายการนั้น
รูดิเกอร์ เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อทีมชาติเยอรมนี ระหว่างปี 2020 โดยเขาได้ลงเป็นตัวจริงทุกนัด ที่มีการแข่งขันในปีดังกล่าว หลังจากมีชื่อติดในทัพเยอรมนี สำหรับศึกยูโร 2020 ที่ถูกเลื่อนออกไป เขาลงสนามครบทุกนาทีให้กับทีมชาติในทัวร์นาเม้นต์นั้น โดยช่วยให้ ดี มานชาฟท์ เอาชนะ ทีมชาติโปรตุเกส ไป 4-2 ในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนพ่ายให้กับ ทีมชาติอังกฤษในรอบ 16 ทีมสุดท้าย จนต้องตกรอบไป